วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Special Chapter


           สวัสดีครับสัปดาห์นี้ผมไปเที่ยวเชียงใหม่ วันแรกผมเดินทางออกจากสนามปินดอนเมืองประมาณ 9.50 และถึงเชียงใหม่ 11.00 แล้วก็มีรถตู้มารับจากสนามบินไปบ้านคุณน้าที่เชียงใหม่



 จากนั้นเดินทางไปภูภิงค์ราชนิเวศซึ่งเป็นบ้านพักของในหลวงที่เชียงใหม่ด้านในมีพืชเมืองหนาวหลายชนิด จากนั้นผมเดินทางไปศักการะครูบาศรีวิชัยที่ดอยสุเทพและไปไหว้พระ 





ขณะลงได้เจอเพื่อนที่มาสอบ smart-1 ที่เชียงใหม่ หลังจากนั้นผมไปทานข้าวที่ถนนวัวลายเป็นถนนคนเดิน คนเยอะมากกกก มีของขายเยอะเลย ส่วนมากเป็นเครื่องเงิน เมื่อเดินเข้าไปเพื่อไปวัดศรีสุพรรณซึ่งมีโบสถ์เงินที่สวยงาม เมื่อผมไปถึงเค้าเริ่มปิดไฟกัน ผมก็งง แล้วเค้าก็ประกาศว่า "วันนี้มีกิจกรรม Chaing mai Unplug เป็นวันแรกโดยให้ใช้เทียนแทนแสงไฟเดินวนรอบโบสถ์ ผมจึงไปร่วมกิจกกรมด้วย ซึ่งเป็นบรรยากาศที่สวยงามมาก จากนั้นผมเดินทางกลับที่พัก


วันที่สองผมออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไปยังผาช่อ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ โดยมีชื่อเล่นว่า แกรนด์ แคนยอน ประเทศไทย เมื่อไปถึงรถเข้าได้ถึงปากทาง แล้วต้องเดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร จากนั้นจะทีทางเดินเข้าไปด้านใน

เมื่อเข้าไปด้านในจะพบกับบรรยากาศที่สวยงาม



  หลายคนอาจคิดว่าเกิดจากการกัดเซาะของลมเพียงอย่างเดียวแต่สิ่งที่มีบทบาทสำคัญอีกอย่างคือน้ำเพราะทำให้ลักษณะดินบนภูเขาเป็นดินทรายและก้อนกรวดขนาดเล็กจำนวนมากจึงทำให้ลงสามารถกัดเซาะได้ง่ายและมีรูปร่างที่น่าสนใจดังภาพ

ผาช่อ เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของลมฝน จนทำให้แผ่นดินที่เชื่อกันว่าเมื่อหลายร้อยปี หรือพันปีก่อนบริเวณแห่งนี้ เคยเป็นทางเดินของแม่น้ำปิง ซึ่งสังเกตได้จากก้อนกรวดหินกลมมนกระจัดกระจายอยู่ในเนื้อดินจำนวนมาก จนกระทั่งแม่น้ำปิงได้เปลี่ยนสายย้ายทิศไหลผ่านไปที่อื่น บริเวณนี้ก็ได้ถูกยกตัวเป็นเนินเขาสูง ตะกอนแม่น้ำปิงก่อตัวทับถมกันเป็นชั้นๆ ผ่านกลายเวลาและถูกกัดเซาะจนกลายเป็นหน้าผาและเสาดินที่มีรูปร่างแปลกตา

จากนั้นไปทานข้าวกลางวันและพักผ่อน



จากนั้นไปไหว้พระที่วัดพระสิงห์


มื้อเย็นไปทานที่ร้านข้าวเม่าข้าวฟ่างเป็นร้านที่มีบรรยากาศสวยงาม




วันต่อมาเป็นงานแต่งงานน้าผมในช่วงเช้ามีงานมั่นซึ่งจัดแบบทางเหนือมีการแห่ขบวนขันหมาก จัดที่
คุ้มขันโตก เป็น ร้านอาหาร และ ที่จัด ประชุม บรรยากาศสวยงามครับ


ตอนกลางวันคุณน้าเลี้ยง international buffet ที่ ห้องอาหารพลับพลาชัย ใน คุ้มขันโตก

และผมได้มีโอกาสลองทาน ข้าวซอย(เป็นอาหารภาคเหนือ)


ตอนเย็นผมไปร่วมงานแต่งงานน้าผม ณ โรงแรม Le Meridien Chiang Mai



จากนั้นผมเดินทางไปบ้านน้าของผมเพื่อพักผ่อนเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากการนอนโรงแรม

วันที่สี่ผมไปไหวพระที่วัดเจดีย์หลวงซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างเช่นการสรงน้ำพระโดยใช้รอก


การแขวนตุงตามวันเกิดและนักษัตรเพื่อเสริมสิริมงคล


จากนั้นทานอาหารกลางวันไปซื้อของฝาก(ส่วนมากเป็น แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม)
และเดินทางสู่สนามบินกลับสู่กรุงเทพ

ทั้งหมดนี้เป็นการท่องเที่ยวในสัปดาห์ที่ผ่านมาของผมครับ สำหรับผมการท่องเที่ยเหมือนเป็นการออกไปดู idea ใหม่ๆ ไปดูความคิดของคนอื่นเช่นแต่ละสถานที่ที่ผมไปจะมีเอกลักษณ์ที่ต่างกันดังที่ผมอธิบายไว้ ทริปนี้ของผมถือว่าเป็น ทริปที่ดีและน่าจดจำครับ สำหรับเพื่อนที่สนใจสถานที่ที่ผมไปสามารถลองไปเที่ยวได้นะครับ สวัสดีครับ









วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Chapter XIV


สวัสดีครับเจอกันอีกครั้งหลังปิดเทอม

เทอมนี้เริ่มด้วย Paper นึงครับ

(NaturalNews) Many health-minded individuals understand that eating fried or overcooked foods is unhealthy due to the chemical transition of normally stable fats to trans fats that have been shown to dramatically increase heart attack risk. Researchers from the University of the Basque in Spain publishing in the journal Food Chemistry are the first to discover compounds released from common cooking oils that significantly increase the risk of neurologic degenerative diseases and a variety of different cancers.

Breakdown chemical structures known as aldehydes are formed in cooked vegetable oils such as sunflower oil when heated to normal frying temperatures,and are also released into the air where they can be inhaled. Alternate food preparation methods such as roasting, steaming and broiling are safe methods of cooking foods to avoid the dangerous release of aldehydes andprovide a shield against cancer-forming particles and neurodegenerative decline.

Prior studies have identified the health degrading nature of aldehydes, where their presence in organisms is linked to different types of cancer and neurodegenerative diseases such as Alzheimer's and Parkinson's. Researchers also know that these compounds remain in vegetable oils after they have been used to fry foods and wanted to determine how they interact with proteins, hormones and enzymes in the body to impede its correct functioning.

Many common vegetable oils produce

dangerous aldehydes when heated

The study team heated three types of oil (olive, sunflower and flaxseeds) in an industrial deep fryer at 190 degrees Celsius for a period of forty hours (twenty hours was used for the flaxseed oil). This length of time was used to approximate oils used commercially at a restaurant where fryers remain heated for extended periods of time. The oils were then analyzed using gas chromatography/mass spectrometry techniques.

Researchers found that the sunflower and flaxseed oils degraded significantly and are the ones that create the most toxic aldehydes in the least amount of frying time. These oils are high in polyunsaturated fats (linoleic and linolenic) and breakdown quickly to form the health-demoting aldehyde compounds that permeate the air and penetrate into the food. Olive oil, known to be high in monounsaturated fat, generates aldehydes to a lesser degree and after cooking much longer.

The research team concluded "The fact that significant concentrations of these toxic compounds were found in some oils ... is a cause of concern for human health." Although the scientists did not use coconut oil in their tests, studies have shown that the medium-chain fatty acid does not rapidly convert to deadly trans fats when heated, and may be less likely to produce aldehydes when compared to other vegetable oils. While fried foods are not part of a healthy eating plan, it is important to avoid cooking with low flash-point oils that produce aldehydes and increase the risk of neurologic disorders and cancer.




ผมได้ไปเจอการพิสูจน์ที่น่าสนใจครับ 1+2+3+4+... = -1/12


Chapter หน้าจะเป็น Special Chapter ครับ รอติดตามได้นะครับ












วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

Chapter XIII


สวัสดีครับสัปดาห์นี้ผมพูดถึงภาพยนต์เรื่อง Inception เป็นบทความจาก web ต่างๆที่น่าสนใจ

ตอนจบ Inception อยู่ในฝันหรือตื่นอยู่ในโลกความจริง

เราเชื่อว่าตอนจบของ Inception คงจะเป็นปัญหาโลกแตกคาใจใครหลายคนว่าตกลงแล้ว 'ค็อบบ์' ที่รับบทโดยลีโอนาร์โด้ ดิคาปริโอ อยู่ในความฝันหรือกำลังตื่น เชื่อว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าลูกข่างหยุดหมุนหรือไม่ในตอนจบของ Inception วันนี้เรามีทฤษฎีหนึ่งที่จะมาไขข้อข้องใจของคุณให้กระจ่างครับ

ทฤษฎีที่ว่านี้คือ "ทฤษฎีแหวนแต่งงาน" ครับ เมื่อมีคนตั้งข้อสังเกตว่าค็อบบ์จะสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้ายเฉพาะในความฝันเท่านั้น แต่เมื่อเขาตื่นมาในโลกความจริงก็จะไม่ปรากฎแหวนดังกล่าว ซึ่งเป็นทฤษฎีที่คนทั่วโลกยอมรับว่าเป็นไปได้และยกย่องความเป็นอัจฉริยะในการสอดแทร กโทเท็มให้แก่คนดู






สิ่งที่ช่วยยืนยันว่าแหวนแต่งงานมีความสำคัญมากกับหนังก็คือมันถูกจัดวางร่วมกับโทเท็มชิ้นอื่น ๆ ในการจัดแสดงเครื่องแต่งกายและสิ่งของจากหนังเรื่อง Inception หน้าโรงภาพยนตร์ ArcLight Hollywood



ภาพจาก ArcLight Hollywood

เจอกันสัปดาห์หน้าครับ







วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Chapter XII


สัปดาห์นี้พูดถึงความสามารถพิเศษของสิ่งมีชีวิตครับ

พลังชีวิตของ Axolotl


ถ้าการงอกหางใหม่ของจิ้งจกยังไม่ทำให้คุณประทับใจล่ะก็ คุณต้องได้พบกับพลังชีวิตขั้นสุดยอดของซาลาแมนเดอร์ชนิดหนึ่งที่ดำรงชีวิตเป็นทารกตัวโตตลอดชีวิต เพราะมันไม่เคยขึ้นจากน้ำเลย ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะต้องมีปัญหาอะไรกับชีวิตมันเลยนี่หว่า แต่เปล่าเลยครับ เพราะความจริงแล้วพวกมันมักประสบกับการเสียแขน ขา หาง และอวัยวะภายใน เนื่องจากการทะเลาะกันเอง หรือถูกโจมตีโดยสัตว์อื่นหรือมนุษย์ ซึ่งถ้าเป็นสัตว์อื่นคงต้องพิการไปตลอดชีวิตแน่ แต่สำหรับ Axolotl แล้วการเสียอวัยวะสักชิ้นไปคือส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะมันสามารถงอกส่วนที่หายไปขึ้นมาใหม่ได้ทั้งกระดูกในเวลาไม่กี่เดือน



สัมผัสด้วยไฟฟ้าของตุ่นปากเป็ด ปกติแล้วสัมผัสไฟฟ้ามักมีจำกัดอยู่ในโลกของสัตว์น้ำเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่สามารถตรวจจับกระแสไฟฟ้าเพียงเล็กน้อยจากกล้ามเนื้อของพวกมันได้ นั่นคือตุ่นปากเป็ด สัตว์หน้าตาประหลาดจากออสเตรเลียที่มีปากเหมือนเป็ดซึ่งสามารถตรวจจับกระแสไฟฟ้าได้ และไม่ว่าน้ำจะขุ่นแค่ไหน มันก็ยังสามารถค้นหาแหล่งที่มาของไฟฟ้านั้นได้อย่างแม่นยำ ฉะนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะตามจับมันหรือหลบหนีมันได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าถ้าจับมันได้ก็จบเรื่อง นั่นคุณคิดผิดแล้วล่ะ เพราะตุ่นปากเป็ดยังซ่อนกรงเล็บอาบยาพิษเอาไว้โจมตีอีกด้วย




สมองอันปราดเปรื่องของหมึกยักษ์
หลายต่อหลายครั้งเรามักเห็นตัวละครที่ทรงภูมิปรากฏอยู่ในรูปของหมึก ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะนี่อาจเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดแห่งท้องทะเลเลยก็ว่าได้ ด้วยหนวดแปดเส้นที่ใช้หยิบจับแทนมือ ดวงตาที่ล้ำลึกยิ่งกว่าสัตว์ทะเลชนิดใด และระดับสมองที่สามารถจดจำสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ แถมยังมีความสามารถในการหลบหนีจากที่คุมขังหรือแทรกตัวเข้าไปอยู่ในซอกเล็กๆ และถ้าคุณสมบัติแค่นี้ยังไม่พอให้คุณยอมรับมันได้ คุณคงต้องวัดกำลังกับปุ่มดูดนับร้อยที่รับรองได้ว่า คุณแพ้มันแน่ๆ



โลกไร้แรงดึงดูดของจิ้งจก
ถึงจะเป็นสัตว์ขี้กลัว และจะออกมาในยามวิกาลเท่านั้น แต่จิ้งจกก็ซ่อนพลังวิเศษที่หลายคนอยากครอบครอง เช่น การปีนกำแพงและไต่เพดานได้แบบไม่แคร์แรงดึงดูดของโลก และเคล็ดลับนี้ก็ซ่อนอยู่ใต้นิ้วเท้าของมันนี้เอง เพราะนิ้วของจิ้งจก นั้นปกคลุมด้วยขนจำนวนมหาศาล ที่ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตขึ้น แล้วด้วยไฟฟ้าที่ทำให้เกิดการยึดติดนี่เองที่ทำให้มันสามารถเดินในแนวนิ่งและแนวขนานกับพื้ันโลกได้ แถมไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการเวียนหัวเพราะแยกดินแยกฟ้าไม่ออก เพราะจิ้งจกสามารถปรับการไหลเวียนของเลือดได้ภายในเสี้ยววินาที



ถังเคมีเคลื่อนที่ของ Bombardier Beetle
อาจจะเป็นแค่ด้วงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว แต่ถ้าคุณคิดจะไปจับมันเล่นละก็ ลองคิดใหม่ซะนะ เพราะเจ้าแมลงที่เหมือนไม่มีพิษมีภัยนี้ มันเก็บสารเคมีประเภทกำมะถันไว้ถึงสองชนิด และเมื่อมีภัยคุกคาม เจ้าด้วงจะทำการฉีดสารเคมีทั้งสองตัวออกมาพร้อมกัน และผสมกันจนการเป็นของเหลวกลิ่นฉุนและมีอุณหภูมิสูงขนาดที่สามารถทำให้ผิวของเราไหม้ได้ แต่กลับไม่เป็นอันตรายกับตัวมันเลยสักนิด


จากตัวอย่างด้านบนเราได้เห็นความสามารถที่น่าสนใจของสัตว์ต่างๆ

และเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการศึกษากลไกของสัตว์ต่างๆ

นอกจากนั้นความสามารถของสัตว์ต่างๆยังได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์

เจอกันสัปดาห์หน้าครับ



วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Chapter XI


สวัสดีครับ

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมงานวันเกิดโรงเรียน กรุงเทพคริสเตียน

วันเสาร์ที่ 15 ส.ค. 2558

ผมเข้าร่วมงานตั้งแต่เช้าเป็นงาน พิธีเปิดโดย ไอเดียปีนี้เป็นแนวอนาคตโดยใช้กล่องเดินเรื่อง



หลังจากนั้น ผมได้ไปงานวิชาการ

มีกิจกรรมหลากหลาย ชีวะ ให้สัมผัสสัตว์ต่างๆ

เคมี ให้ลองทดสอบสารโดยใช้หลักการ ของ indicator น้ำอัญชันความสนใจให้เด็กๆที่เข้าร่วมงาน นอกจากนั้นยังมี อักษรล่องหนโดยใช้ citric acid ทาแล้ววาง บน hot plate เพื่อให้อักษรออกมา และ มีกิจกรรมตรวดลายนิ้วมือและเทียบลายนิ้วมือ



หลังจากนั้นผมได้ไปดูละครเวที

ปีนี้ละครเวทีดีมาก ชอบ เนื้อเรื่อง และ เพลงประกอบ

นอกจากนั้นยังมี effect ที่สร้างสรรค์ สร้างความสนุก และ ความประทับใจ



ก่อนกลับผมได้ดู Concert The Mousses และ Lomosonic 3 ช.ม.

สนุกมากได้ร้องเพลงแบบสุดๆและได้ กระโดดไปกับเพื่อนๆ



Concert The Mousses




Concert Lomosonic



สัปดาห์นี้ผมจบด้วยเพลงละครประมวณเรื่องที่ 14 ครับ เจอกัน สัปดาห์หน้าครับ














วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Chapter X

สวัสดีครับ

Chapter นี้ผมจะพูดถึงเรื่องสมองของคนนะครับ


เริ่มด้วย development ตั้งแต่แรกละกันครับ



สมองคนแบ่งเป็น 3 ส่วน

1. Forebrain ซึ่งจะแยกเป็น        Telencephalon และกลายเป็น cerebrum
                                                   Diencephalon กลายเป็น thalamus hypothalamus 
                                                   epithalamus
2. Midbrain ซึ่งจะพัฒนาเป็น     Mesencephalon กลายเป็น Midbrain

3. Hindbrain ซึ่งจะแยกเป็น       Metencephalon และกลายเป็น Pons Cerebellum

                                                  Myelencephalon กลายเป็น Medulla oblongata

 สมองส่วนหน้า ( forebrain )  ประกอบด้วยส่วนสำคัญดังนี้
        เซรีบรัม ( cerebrum )  เป็นส่วนของสมองที่อยู่หน้าสุด และมีขนาดโตที่สุด  จะมีผิวด้านนอกเป็นเนื้อสีเทา ส่วนด้านในเป็น
เนื้อสีขาว  ที่บริเวณผิวด้านนอกมีรอยหยักเป็นร่องมากมาย ทำให้สมองส่วนนี้มีพื้นที่มากขึ้น จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่า
คนมีรอยหยักบนสมองส่วนนี้มากที่สุด
       สมองส่วนเซรีบรัม  ทำหน้าที่เกี่ยวกับ
         1.  การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ( ความรู้ ) ความจำ ความรู้สึกนึกคิด เชาว์ปัญญา
         2.  เป็นศูนย์ควบคุมการทำงานต่างๆ และรับรู้ความรู้สึกต่างๆของร่างกาย  เช่น  ศูนย์ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ
ศูนย์ควบคุมการรับสัมผัสต่างๆ  ศูนย์ควบคุมการพูด การรับรู้ภาษา  ศูนย์กลางการมองเห็น การรับรส การได้ยิน และการดมกลิ่น
         ออลแฟกทอรีบัลบ์ ( olfactory bulb )  สมองส่วนนี้อยู่ทางด้านหน้าสุด  ทำหน้าที่เกี่ยวกับการดมกลิ่น  สมองส่วนนี้ในคน
พัฒนาน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่นๆ เช่น  สุนัข  หมู  ทำให้ความสามารถในการดมกลิ่นของคนน้อยกว่าสัตว์เหล่านั้น  แต่ใน
สัตว์ทีมีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ  เช่น  กบ  ปลา  จะมีขนาดใหญ่ ทำหน้าที่คล้ายกันเกี่ยวกับการดมกลิ่นได้ดี
         ไฮโพทาลามัส ( hypothalamus )  เป็นส่วนที่อยู่ด้านล่างของสมองส่วนหน้าที่ยื่นมาติดต่อกับต่อมใต้สมอง ( pituitary
gland )  เซลล์ประสาทของสมองบริเวณนี้ส่วนมากทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนประสาทหลายชนิด ซึ่งควบคุมการสร้างฮอร์โมนจาก
ต่อมใต้สมอง
         ไฮโพทาลามัสทำหน้าที่สำคัญ คือ  เป็นศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย  การนอนหลับ  การเต้นของหัวใจ  ความดันเลือด
ความหิว  ความอิ่ม  นอกจากนี้ยังมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมอารมณ์ และความรู้สึกต่างๆ เช่น  โศกเศร้า  ดีใจ  ความรู้สึกทางเพศ
         ทาลามัส ( thalamus )  เป็นส่วนที่อยู่เหนือไฮโพทาลามัส  ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมกระแสประสาทที่ผ่านเข้ามา  แล้วแยก
กระแสประสาทส่งไปยังสมองที่เกี่ยวข้องกับกระแสประสาทนั้นๆ

   สมองส่วนกลาง ( midbrain ) 
       ที่สมองส่วนกลางจะมีออปติกโลบ ( optic  lobe ) อยู่  ในคนสมองส่วนนี้ถูกเซรีบรัมบังเอาไว้  มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุม
การเคลื่อนไหวของนัยน์ตา  ทำให้ลูกนัยน์ตากลอกไปมาได้ และควบคุมการปิดเปิดของม่านตาในเวลาที่มีแสงสว่างเข้ามามากหรือน้อย

 สมองส่วนหลัง ( hindbrain )  ประกอบด้วย
        เซรีเบลลัม ( cerebellum )  เป็นสมองส่วนท้ายประกอบด้วยสองซีกอยู่ทางซ้ายและทางขวา  และมีผิวด้านนอกที่เป็นเนื้อ
สีเทาและด้านในเป็นเนื้อสีขาว เช่นเดียวกับเซรีบรัม แต่มีขนาดเล็กกว่า
          มีหน้าที่สำคัญ  คือ
          -  ควบคุมและประสานงานของการเคลื่อนไหวของร่างกายให้เป็นไปอย่าง ราบรื่น  สละสลวย  และเที่ยงตรง  สามารถทำงาน
ที่ต้องการความละเอียดอ่อนได้
         -  ควบคุมการทรงตัวของร่างกาย
         พอนส์ ( pons )  อยู่ทางด้านหน้าของเซรีเบลลัมติดต่อกับสมองส่วนกลาง
         มีหน้าที่สำคัญ  คือ
         -  ควบคุมการเคี้ยว  การหลั่งน้ำลาย  การเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้า
         -  ควบคุมการหายใจ
         -  เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างเซรีบรัมกับเซรีเบลลัม  และ ระหว่างเซรีเบลลัมกับไขสันหลัง
         เมดัลลาออบลองกาตา ( medulla oblongata )  เป็นสมองส่วนที่อยู่ท้ายสุด โดยติดต่อกับพอนส์ทางด้านบน และไขสันหลัง
ทางด้านล่าง
         มีหน้าที่สำคัญ  คือ
         -  เป็นศูนย์ควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนวัติต่างๆ  เช่น  การเต้นของหัวใจ  การหายใจ  การหมุนเวียนเลือด
ความดันเลือด  การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำไส้  เป็นต้น
         -  เป็นศูนย์ปฏิกิริยาสะท้อนกลับบางอย่าง  เช่น  การไอ  การจาม  การอาเจียน  การกลืน  การสะอึก
         สมองส่วนกลาง  พอนส์  และเมดัลลาออบลองกาตา  สมองทั้ง  3  ส่วนนี้รวมเรียกว่า  ก้านสมอง ( brain  stem )


''

Cerebrum เป็นสมองที่ใหญ่ที่สุดและทำหน้าที่มากที่สุดของมนุษย์

สำหรับครั้งนี้จะพูดถึง  Broca's area บริเวณนี้ใช้สร้างประโยค

ถ้าบริเวนี้มีความผิดปกติจะทำให้พูดไม่รู้เรื่อง แต่ ฟังรู้เรื่อง

Wernicke's area บริเวณนี้ใช้ทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยิน

ถ้าบริเวณนี้บกพร่อง จะพูดรู้เรื่อง แต่พูดไม่ตรงคำถาม เพราะไม่เข้าใจคำถาม

ตัวอย่างโรค
การดื่มสุราในปริมาณที่มากเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำวิตามินบี 1 มาใช้ได้ และนอกจากนี้ยังรบกวนการดูดซึมวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายอีกด้วย จะก่อให้เกิดกลุ่มโรค เรียกว่า Wernicke - Korsakoff Syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มอาการทางสมองที่เกิดจากการขาดวิตามินบี 1 จะทำให้สมองมีการสูญเสียการทำงานบางอย่าง เริ่มต้นด้วย Wernicke encephalopathy จะประกอบด้วย กล้ามเนื้อสำหรับการกลอกตาเป็นอัมพาต เดินเซ และภาวะสมองสับสน

ปิดท้ายด้วย สมองที่ทำงานตลอดเวลาของโลมาครับ Bye Bye



















วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Chapter IX

สวัสดีครับเดินทางมาถึง Chapter IX ละครับ
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ไปดู Ant man เป็นหนังที่นอกจสนุกแล้วยังสอดแทรกวิทยาศาสตร์





เรื่องนี้พูดถึง Pym Particle โดยอธิบายว่าอนุภาคนี้  จะสามารถลดระยะห่างระหว่างอะตอมโดยมีทฤษฎีอ้างอิงที่ว่า 99% ของอะตอมจะเป็นช่องว่าง การลดระยะห่างของ อนุภาคนี้จะทำให้ขนาดเล็กลงและ ความหนาแน่นเพิ่มขึ้น




และใช้ขนาดย่อขยายเพื่อใช้ในการต่อสู้และนอกจากนั้นเรื่องนี้ยังต่อสู้เป็นทีมโดยใช้มดเพื่อช่วยในการต่อสู้โดยใช้ประโยชน์จากความสามารถของมดสายพันธุ์สายพันธุ์ต่างๆ

แต่จุดที่น่าสนใจของเรื่องนี้คือตอนที่ย่อขนาดเล็กกว่าอะตอมและเข้าไปในมิติที่ 5 ซึ่งเวลาเป็นมิติทางกายภาพ

ดังนั้นเราจึงสามารถเดินทางไป อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตได้เหมือนเดิน ขึ้น-ลงบันได โดยปกติคนเราจะเป็นสิ่งมีชีวิต 4 มิติโดย 3 มิติเป็น มิติทางกายภาพ และ อีกมิติเป็นเวลาซึ่งโดยทฤษฎีเรายังไม่สามารถเดินทางย้อนเวลาได้



ก่อนหน้าผมได้เคยได้ยินทฤษฎีนี้ในหนังเรื่อง Interstellar

ตอนที่พระเอกเดินทางผ่าน black hole (ตอนใกล้จบ)



หลังจากนั้นพระเอกได้พยายามหาวิธีสื่อสารกลับคนอื่นหลังพบว่าหลุมดำเชื่อมกับห้องสมุดบ้านของเขา




และพระเอกส่งสัญญาณข้ามมิติไปโดยใช้แรงโน้มถ่วงขยับเข็มนาฬิกา



เมื่อสามารถส่งได้พระเอกจึงให้ข้อมูลขณะที่เดินางข้ามหลุมดำทำให้ลูกพระเอกสามารถคิดทฤษฎีที่ทำให้มนุษย์สามาถไปอยู่บนสถานีอวกาศทีเดินทางรอบดาวเคราห์ได้


และนอกจากนั้นยังมีทฤษฎีที่หน้าสนใจเช่น string theory

               ทฤษฎีสตริง เป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ สำหรับฟิสิกส์เชิงทฤษฎี ที่มี บล็อกโครงสร้าง (building blocks) เป็นวัตถุขยายมิติเดียว (สตริง) แทนที่จะเป็นจุดศูนย์มิติ (อนุภาค) ซึ่งเป็นพื้นฐานของแบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์อนุภาค นักทฤษฎีสตริงนั้นพยายามที่จะปรับแบบจำลองมาตรฐาน โดยการยกเลิกสมมุติฐานในกลศาสตร์ควอนตัม ที่ว่าอนุภาคนั้นเป็นเหมือนจุด ในการยกเลิกสมมุติฐานดังกล่าว และแทนที่อนุภาคคล้ายจุดด้วยสตริงหรือสาย ทำให้มีความหวังว่าทฤษฎีสตริงจะพัฒนาไปสู่ทฤษฎีสนามโน้มถ่วงควอนตัมที่เข้าใจได้ง่าย นอกจากนี้ทฤษฎีสตริงยังปรากฏว่าสามารถที่จะ "รวม" แรงธรรมชาติที่รู้จักทั้งหมด (แรงโน้มถ่วง, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงอันตรกิริยาแบบอ่อน และแรงอันตรกิริยาแบบเข้ม) โดยการบรรยายด้วยชุดสมการเดียวกัน และทฤษฎีอื่นๆจะพูดทีหลังครับ

กลับมาที่คำถามสัปดาห์ที่แล้ว เรื่อง Hyper ventilation cause alkalosis


เมื่อ หายใจถี่ขึ้น (hyper ventilation) ทำให้ CO2 ในเลือดลดลง ทำให้สมการ shift ซ้าย ตามกฎของ 
 le chatelier เพื่อลด stress ของระบบให้ลดลงจึงต้องทำให้ความเข้มข้นต่างกันน้อยลง ทำให้เลือดเป็นเบส การหายใจในถุงเป็นการเพิ่ม CO2 ทำให้สมการ shift ขวาตามกฏของ le chatelier ทำให้เลือดเป็นเบสลดลง ทำให้กลับมาเป็นปกติ จบละนะครับสำหรับคำถาม จะเห็นได้ว่าชีวะสามารถอธิบายได้ด้วยเคมี

ปิดท้ายด้วย Amazing fact blow your mind part 2







วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Chapter VIII


สวัสดีครับ

สัปดาห์นี้ผมจะพูดเกี่ยวกับ เคมีและชีวะ


ผมอ่านชีวะแล้วสงสัยว่า Glucose 1 molecule เวลาสลายจะให้พลังงานกี่เปอร์เซ็นต์


ได้ว่า

It takes energy to break bonds, and energy is released when bonds are formed.

CH4 has four C-H bonds to be broken: 4(413) = 1652 kJ
Break two O=O bonds 2(497) = 994 kJ
Total energy needed to break bonds = 1652 + 994 = 2646 kJ

Bonds formed: CO2 has two C=O bonds. When these are formed energy is released and the sign of the heat change is negative (exothermic) Thus 2(-740) = -1480 kJ
H2O has two O-H bond but 2H2O means that 4O-H bonds are formed
4(-463) = -1852
Total energy released is 1480 + 1852 = 3332 kJ

Energy change = -3332 + 2646 kJ = -686 kJ
1 Glucose gives 32 ATPs
1 ATP = 7.3 kJ
1 Glucose = 32 X 7.3 = 233.6
233.6/686 = 0.3405 X 100 = 34.05%
เป็น exothermic ΔH เป็นลบ
จะได้ว่า เวลาสลายจะให้พลังงาน 34.05%

จะเห็นว่าเคมีช่วยอธิบายชีวะและบางครั้งชีวะก็ทำให้สามารถเห็นเคมีเป็นรูปธรรม

หลายคนคิดว่าไม่เห็นเกี่ยวกันเลย สำหรับผมผมคิดว่าเคมีและชีวะเป็นสิ่งที่คู่กันและ
อธิบายซึ่งกันและกัน

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้เจอข้อสอบที่ผสมเคมีกับชีวะโดยใช้เคมีเรื่องสมดุลอธิบายระบบหายใจ


โจทย์ถามว่า ทำไมเวลาหายใจเร็วๆ ต้องหายใจในถุงโดยบอกว่าเกิดจากปริมาณ CO2 ที่มากขึ้น
เฉลย Chapter หน้านะครับ



เจอกัน Chapter หน้าครับ